Tuesday, January 1, 2008

อาหารที่กินกันมากที่สุดในโลก

อาหารที่กินกันมากที่สุดในโลก คือ ข้าว

ข้าวยาคู
ข้าวยาคู เป็นผลิตภัณฑ์แรกสุดที่ได้จากข้าวเจ้า ข้าวยาคูทำจากเมล็ดข้าวอ่อน เป็นเมล็ดข้าวที่มีเนื้อข้าวอยู่แล้วแต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเก็บเกี่ยวได้ วิธีทำข้าวยาคู ให้นำข้าวอ่อนทั้งรวงมาตำให้เปลือกแตกออก เนื้อข้าวสีขาวผสมกับสีเขียวของเปลือกข้าวและก้านรวง ทำให้ได้น้ำข้าว สีเขียวอ่อนดูน่ากิน นำน้ำข้าวนี้ไปต้มไฟ และคอยคนไม่ให้เป็นลูก ใส่น้ำตาลทรายให้ได้รสหวานอ่อนๆ จะได้ ข้าวยาคูเป็นอาหารธัญพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรสอร่อย และมีกลิ่นหอมของข้าวอ่อน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเจ็บ คนชรา คำว่า ยาคู เป็นคำภาษาบาลี แปลว่า ข้าวต้ม


ข้าวเม่า
ข้าวเม่า เป็นผลิตภัณฑ์อันดับแรกที่ได้จากข้าวเหนียว ข้าวที่จะทำข้าวเม่าจะแก่กว่าข้าวที่ทำข้าวยาคู เป็นข้าวที่ใกล้จะสุกแล้ว นำเมล็ดข้าวนี้มาคั่วพอสุกแล้วใส่ครกตำขณะยังร้อนๆ แล้วเอามาฝัดเอาเปลือกข้าวออก จะได้ข้าวเม่าเมล็ดแบนๆ ไว้สำหรับปรุงเป็นขนมต่อไป วิธีที่ง่ายที่สุดในการปรุงข้าวเม่ารับประทาน คือ การทำข้าวเม่าคลุก ให้พรมน้ำเกลือลงบนข้าวเม่าแล้วคลุกเคล้าให้ทั่ว ทำให้ข้าวเม่าอ่อนตัวและมีรสเค็มน้อยๆ ขูดมะพร้าวทึนทึกเป็นเส้น ๆ คลุกเคล้าเข้ากับข้าวเม่า และโรยน้ำตาลทราย ปรุงให้ได้รสหวานและเค็มเล็กน้อย รับประทานกับกล้วยไข่สุก ข้าวเม่าคลุก กับกล้วยไข่ เป็นของหวานของไทย ที่นิยมรับประทานกันมากอย่างหนึ่ง คำว่าเม่า พระยาอนุมานราชธนได้อธิบายว่า ในภาษาอาหม มีคำว่า มาง ซึ่งน่าจะเป็นคำเดียวกับคำว่า เม่า แปลว่า ทุบหรือตำให้เป็นแผ่นบาง ข้าวเม่า น่าจะแปลว่า ข้าวที่ทุบให้แบน

ข้าวเปลือก
ข้าวเปลือก หมายถึงเมล็ดข้าวเจ้า หรือข้าวเหนียวที่หลุดออกจากรวงแล้ว แต่ยังไม่ได้สี หรือตำเอาเปลือกออก แต่ข้าวเปลือก ๒-๓ เมล็ดที่หลงเหลืออยู่ในข้าวที่สีเรียบร้อยแล้ว เรียกกันว่ากากข้าว ถ้าข้าวที่สีแล้วมีกากมาก คนที่จะหุงข้าวมักจะเก็บกากข้าวออกเสียก่อน ชาวนาเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งหรือฉางข้าว และจะเปิดยุ้งหรือฉางเฉพาะเมื่อเวลาที่จะขายข้าว หรือต้องการเอาข้าวออกไปจำนวนมากเท่านั้น เพราะถือกันว่า หากเปิดปิดยุ้งฉางบ่อย ๆ อาจทำให้แม่โพสพ ซึ่งเป็นเทพธิดาหรือเทพีประจำข้าวโกรธ และไม่อยู่ดูแลให้ข้าวออกรวงดีในการเพาะปลูกในปีต่อไปก็ได้ ที่จริงการเปิดปิดยุ้งฉางบ่อยๆ อาจทำให้สัตว์ เช่น หนู หลงเข้าไปกินข้าว หรือทำให้ข้าวได้รับความชื้นจากอากาศมากไปก็ได้ จึงมีการถือไม่เปิดปิดยุ้งฉางบ่อยเกินความจำเป็น


ข้าวตก
ข้าวตก เป็นคำเรียกรวงข้าวที่หลงเหลืออยู่ในนา หลังจากที่เก็บเกี่ยวข้าวไปแล้ว ข้าวตกส่วนหนึ่งชาวนาจะเชิญเก็บไปให้เป็นตัวแทนของแม่โพสพ เรียกว่าข้าวแม่โพสพ ส่วนที่เหลือมักทิ้งให้เป็นทานแก่คนยากจนที่ไม่มีนาของตนเอง สามารถเก็บไปซ้อมกินได้ ปัจจุบัน การทำนาโดยใช้เครื่องจักรทำให้ไม่มีข้าวตกหลงเหลือในนา คนยากจนจึงไม่อาจ เก็บข้าวตกเลี้ยงชีวิตได้เหมือนแต่ก่อน

ข้าวตอก
ข้าวตอก ได้จากข้าวเปลือกที่คั่วให้แตกออกเป็นดอกขาว ใช้ข้าวเปลือกใหม่ๆ ที่ผึ่งแห้งสนิทแล้วมาคั่วไฟอ่อนๆ ให้ร้อนเสมอกัน เมื่อร้อนถึงขีดหนึ่งเนื้อในจะขยายบานออก ดันเปลือกให้ ขาดจากกัน เมื่อฝัดเอาเปลือกทิ้งไป จะได้ข้าวตอกไว้ใช้ในการทำพิธีต่างๆ หรือปรุงเป็นอาหารอื่นๆ เช่น ข้าวตอกน้ำกะทิ กระยาสารท ข้าวตอกตั้ง เป็นต้น ข้าวตอกเป็นข้าว ที่ขยายเม็ดออกบาน มีสีขาว เก็บไว้ได้นานไม่เสีย จึงถือเป็นสิ่งมงคลที่ใช้ในการทำพิธีมงคล ใช้โปรยรวมกับดอกไม้ และเงินทอง เป็นเคล็ดว่า ให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูขยายออกได้ เหมือนข้าวตอก


ข้าวกล้อง
ข้าวกล้อง เป็นคำเรียกข้าวเจ้าที่ได้สีหรือตำให้เปลือกชั้นนอกหลุดออกจากเมล็ดข้าว และฝัดเอาเปลือกออกแล้ว เปลือกที่หลุดออกมานี้เรียกว่า แกลบ ส่วนข้าวที่ยังมีเปลือกหุ้มอยู่เรียกว่า ข้าวเปลือก เมล็ดข้าวที่สีเอาเปลือกออกแล้วนี้ยังมีเยื่อสีนวลๆ หุ้มเมล็ดอยู่อีก จึงต้องนำไปตำหรือสีอีกครั้งหนึ่งให้เยื่อที่หุ้มเมล็ดหลุดออกมามีลักษณะเป็นผงหยาบๆ เรียกว่า รำข้าว ส่วนเมล็ดข้าวจะเป็นข้าวขาว คำว่า กล้อง แปลว่า ตำข้าวเปลือกให้เปลือกหลุด ข้าวกล้อง จึงหมายถึง ข้าวที่ได้ตำให้เปลือกหลุดออกแล้ว หรือข้าวที่ถูกกล้องแล้ว ข้าวกล้องมักจะยังมีข้าวเปลือกปนอยู่มาก หากจะเก็บออกทิ้งก็จะเสียข้าวไปมาก ชาวนาจึงนำข้าวกล้องมาตำด้วยครกตำข้าวอีกครั้งหนึ่งด้วยครกตำข้าว ซึ่งเป็นครกขนาดใหญ่ ทำด้วยท่อนไม้ใหญ่ทั้งท่อน ขุดแต่งตรงกลางให้หวำลงไป ใช้สากซึ่งทำด้วยไม้ ถ้ามีกระเดื่องสำหรับตำข้าวก็ใช้กระเดื่อง แล้วจึงเรียกครกนั้นว่า ครกกระเดื่องด้วย ถ้าไม่มีกระเดื่องชาวนาจะใช้ ตะลุมพุกตำ ตะลุมพุกเป็นสากขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นท่อนไม้ใหญ่ ต่อด้ามขวาง ๙๐ องศา กับตัวสากสำหรับจับเหวี่ยงขึ้นเหนือศีรษะแล้วตำลงในครก เรียกว่า ซ้อม บาง ครั้งชาวนาจะใช้ คนสองคนหรือสามคนช่วยกันตำ โดยกะจังหวะให้ผลัดกันตำตะลุมพุกลงครก อาจมีการ ร้องให้จังหวะด้วย เมื่อตำหรือซ้อมแล้วจะได้ข้าวที่เรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ข้าวซ้อมมืออาจจะยังมีข้าวเปลือกที่เป็นกากหลงอยู่อีก ชาวนาจะนำกากนั้นมาตำด้วยสากอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งทำด้วยไม้เป็นท่อนยาวประมาณ ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร ตรงกลางเกลาให้คอดไว้เป็นที่จับ จากการศึกษาคุณค่าทางอาหารได้พบว่า ส่วนที่เป็นเยื่อสีนวลๆ ซึ่งหุ้มเมล็ดข้าวอยู่นั้น มีวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบี ซึ่งช่วยมิให้เป็นโรคเหน็บชา และสารอาหารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทำให้แข็งแรงมีสุขภาพดี ส่วนเนื้อเมล็ดข้าวภายในเป็นสารอาหารจำพวกแป้งเท่านั้น จึงมีการรณรงค์ชักชวนให้รับประทานข้าวที่มีเยื่อหุ้มสีนวลนี้มากขึ้น และที่เรียกกันว่า ข้าวกล้อง เพราะปัจจุบันนี้ข้าวกล้องที่สีด้วยเครื่องจักรเพียงครั้งเดียวเปลือกก็หลุดหมด เหมือนกับข้าวซ้อมมือ สามารถนำมากินได้โดยไม่ต้องซ้อมอีก


ข้าวสวย
ข้าวสารทำให้สุกได้ด้วยการต้ม นึ่ง หรือหุง ส่วนข้าวเหนียว ทำให้สุกได้ด้วยการนึ่ง คนที่กินข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักจึงมักเรียกด้วยสำนวนว่า ลูกข้าวนึ่ง ข้าวสารที่หุงสุกแล้ว อาจเรียกว่า ข้าวสุก หรือข้าวสวย คำว่า สวย ในคำ ข้าวสวย ไม่ได้แปลว่า งาม แต่แปลว่า ร่วน ไม่ติดไม่เกาะกัน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่แตกต่างกับข้าวเหนียว คำว่า สวย ที่แปลว่า ร่วน สันนิษฐานว่า เป็นคำจากภาษาเขมร ว่า สฺรวย แปลว่า ร่วน เปราะ



...............

Thursday, December 13, 2007

80 เรื่องของในหลวงที่คุณ (อาจ)ไม่เคยรู้

80 เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

เมื่อทรงพระเยาว์

1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ มีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม”ภูมิพล”ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า “H.H Bhummibol Mahidol”หมายเลขประจำตัว 449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า”แม่”
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า”บ๊อบบี้”
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำจะต้องลุกขึ้นบ่อยๆ13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรอง 3 ที มากเกินไป 2ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ ส วิตเซอร์แลนด์ โดยนะหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษษฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก”การให้”โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า”กระป๋องคนจน”หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก”เก็บภาษี”หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆเขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า”ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน”
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง

พระอัจฉริยภาพ

19.พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก”การเล่น”สมัยพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไร ต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับ พระชษฐาน ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็น จิ๊กซอว์
21.ทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ บเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษ า ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงครั้งแรก เมื่อพระชนม์พรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ”แสงเทียน” จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง”เราสู้”
26.รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. - - - -
28.นกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออก ฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
29.ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง”นายอินทร์”และ”ติโต” ทรงเขียนด้วยบายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์แต่พระมหาชนก ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
30.ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และเรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น”กีฬาซีเกมส์”)ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
31.ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่งตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
32.ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ “กังหันชัยพัฒนา” เมื่อปี 253633.ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20ปีแล้ว
34.องค์การสหประชาชาติ ได้ถวาย รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง

เรื่องส่วนพระองค์

35.พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรามหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร36.ร ักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า”น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่า รักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37.ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
38.หลังอภิเษกสมรส ทรง”ฮันนีมูน”ที่หัวหิน
39.ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมืองวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
40.ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
41.ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพง ต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
42.เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
43.พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
44.พลอดยาสีพระทน ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
45.วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรณคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้าแม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ ถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง

งานของในหลวง

46.โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
47.ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่งคือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
48.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียว กระดาษที่จะนำมาให้ข้อราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
49.เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้อราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงม ีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
50.ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
51.โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
52.เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
53.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า “ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
54.ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน

ของทรงโปรด

55.อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
56.ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังช่าย
57.ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
58.ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
59.เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
60.ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
61.ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
62.หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
63.ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูดลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
64.ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
65.สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแด ง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว

รู้หรือไม่ ?

66.ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า “นายหลวง” ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
67.ทรงวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
68.อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า “ทำราชการ”
69.ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิสเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี70.ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า”อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก”
71.ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
72.หัวใจทรงเต้นไม่ปกติด ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี73.รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
74.ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน75.ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.24 93 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
76.ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
77.สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
78.นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง ให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด
79 - - - -
80. พระราชประวัติในหลวง ฉบับการ์ตูน



เคนดิต http://www.dek-d.com/board/view.php?id=995719

Monday, November 12, 2007

15 วิธี ลับสมองให้ความจำดีขึ้น

15 วิธีลับสมองให้ความจำดีขึ้น

1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกัน ว่ากันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆสามวๆนั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆให้เข้าใจได้ง่ายๆขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุดก็คือจดทุกอย่างลงในกระดาษ เขียนไว้กันลืม สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า ถึงแม้ว่าหยดหมึกที่จางที่สุดก็จะอยู่ได้นานกว่าความจำที่ว่าแม่นที่สุด

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอนะ ที่จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆละก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆเข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆเข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆที่เราคุ้นเคย

6. ฝึก..ฝึก..ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูสิว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่ยังเด็กล่ะ

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆหรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มันมักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคยนั่นล่ะ จะเชื่อมั้ยล่ะ ถ้าบอกว่าวิธีเปิดฝากระป๋องแบบดึงขึ้นนั้นน่ะ ต้นตอมาจากการปลอกเปลือกกล้วยนั่นเอง

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..แล้วคำโบราณที่บอกว่าคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผลนั่นน่ะมันเป็นความจริง การที่เราได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอนั้นจะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบลีโอนาโด..หมายถึง ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยมั้ยที่เวลาได้เจอใครๆกลับจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร ที่เป็นปัญหาอาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆนั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆจะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15 ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด ขึ้นป้าย Don't Disturb! ติดไว้ข้างตัว เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า



ในหลวงทรงร้องไห้

เมื่อวันที่ 8 มีนา ที่ผ่านมาผมได้ไปงานที่โรงเรียน
> > > >> เหมือนเช่นทุกปีตอนกลับเดินมาตามตึกยาวเพื่อจะกลับมาทางประตูด้าน
> > > >> เพาะช่าง ยังไม่ถึงบริเวณเศาลหลวงพ่อปู่
> พบอาจาร์ยท่านหนึ่งนั่งอยู่
> > > >> จำได้ว่าเป็นอาจารย์สุธี ท่านเกษียณไปแล้ว
> ไม่รู้คุณรู้จักรึเปล่า
> > > >> กราบอาจารย์ท่านแล้ว สังเกตุเห็นว่าอาจารย์ร้องไห้อยู่ ท่านบอก
> > > >> เพิ่งได้พบกับรุ่นพี่ที่มาในงาน รุ่นที่เท่าไหรก้อไม่ได้ถาม
> > > >> เป็นนายทหารราชองครักษ์ชั้นผู้ใหญ่ เค้าเล่าให้อาจารย์ฟังว่า
> > > >> ... ในหลวงทรงร้องให้..เห็นบ่อย
> > > >> ทรงเสียใจที่เมืองไทยจะสิ้นในรัชกาลของท่าน แล้วกระนั้นหรือ
> > > >> ผมอยากจะตอบอาจารย์ไปว่าคงไม่หรอก ถ้าคนไทย
> > > >> รู้จำคำว่าว่า' หน้าที่' มากกว่า'สิทธิ'
> เราเคยชินกับการเป็น..ผู้รับ...จากคนคนหนึ่งที่เกิดมาเป็น..ผู้ให้...ให้มาตลอด
> > > >> เคยชินจนลืมไปว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วรึยังที่
> > > >> เราควรจะผู้ให้แก่พระองค์ท่านบ้าง... ผมลาอาจารย์เรียบร้อยร้อย
> > > >> กลับไปตามตึกยาว ไปไหว้ พระผู้ให้กำเนิดโรงเรียนอธิฐาษขอให้พระองค์ท่านช่วยคุ้มครองให้หลานท่านทรงมีแต่ความสุข..ทรงมีพระพลานาม> > ัยที่แข็งแรง...เพียงแค่ไม่อยากได้ยินว่า
> > > >> .. ในหลวงทรงร้องไห้ ความสุขของพระมหากษัตริย์ หนึ่งปีที่ผ่านมา
> > > >> เราใส่เสื้อเหลืองเราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง
> > > >> คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ
> หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทพระเจ้าอยู่หัวเพียงไ
> > ม่กี่นาทีวันนั้น
> ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
> > เราได้
> > > >> แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ
> > > >> ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์ จักรี และ
> > > >> พระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย
> สิบสองปีที่ผ่านมา
> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจเพราะทรงงานหนักเกินไป
> > ขณะเดียวกัน
> > > >> สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ
> โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน
> เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรง
> > เยี่ยมพระราชชนนี
> > > >> ไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย
> > > >> พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือ
> > > >> ม้วนแผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่ ยังจำกันได้ไหม?
> > > > >> 34 ปีที่ผ่านมา วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516
> > > >> เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด วันนั้น
> > > >> นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล
> > > >> เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้นตำรวจทหารยิงประชาชน
> > > >> ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า
'> > > >> คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง ' คืนนั้น
> > > >> สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา
> > > >> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า
> > > >> ' คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน '
> > > >> และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน หลังจากนั้นไม่นาน
> > มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า
> > > >> ' เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ
> > > >> เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น ?' ผมไม่ได้ตอบ
> > > >> แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ
> > > >> ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE
> > > >> NATION' หรือ' จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ' ยังจำกันได้ไหม?
> > > >> แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราสร้างค่านิยมผิดๆ
> > > >> ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด
> > > >> เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่
> > > >> ' สิทธิ' แต่ลืมคำว่า ' หน้าที่' เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้
> > > >> เราสร้าง ' กฎหมู่' ให้เหนือ ' กฎหมาย'
> > > >> เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย เราก้าวร้าวต่อกัน
> > > >> เราแตกแยกกัน และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
> > > >> เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
> > > >> จะทรงเสียพระทัยเพียงใด?
> > > >> แล้วสิ่งที่เราทำไปในวันเฉลิมพระชนมพรรษาคืออะไร
> > การที่เราใส่เสื้อเหลือง
> > > >> สายรัดข้อมือ ที่ว่า Long life The King เราทำเพื่ออะไร
> มันเป็นแค่ผักชีโรยหน้าที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าคุณรักพระมหากษัตริย์เพียงใดเท่าน
> > ั้นนะเหรอ
> > > >> 80 ชันษาของพระองค์ท่าน
> หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพ
> >พิเศษ
> > > >> ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80
> > > >> ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ
> > > >> ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์
> > > >> พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ
> > > >> ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้
> > > >> ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อม ด้วยข้าราชบริพาร
> > > >> หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ
> > > >> เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน รู้จักความ พอเพียง
> > > >> และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?
> > > >> หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา?

เครดิต http://www.dek-d.com/board/view.php?id=978286

Wednesday, October 31, 2007

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะพร่องของแร่ธาตุในกระดูก ทั้งด้านความหนาแน่น ปริมาณ และความแข็งแรง ภาวะดังกล่าวนี้จะทำให้กระดูกบางลงเพิ่มความสี่ยงที่กระดูกจะหัก ประมาณกันว่ามีชาวอเมริกันถึง 20 ล้านคน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองเป็นโรคนี้หรือเสี่ยงต่อโรคนี้ แม้ว่ากระบวนการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต แต่ช่วงที่เสี่ยงต่อโรคนี้ส่วนใหญ่คือวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในระยะแรกอาการของโรคแทบจะไม่ปรากฏ แต่กระนั้นโรคนี้ก็ร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าสามารถทำให้กระดูกสันหลังหรือสะโพกแตกร้าว ซึ่งน้อยคนนักที่รอดชีวิตมาได้หากอาการลุกลามไปถึงขั้นนั้น
การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยให้เราป้องกันหรือชะลอการบุกรุกของโรคนี้ได้ โดยบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ

• ผลไม้และผักใบเขียวที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ

• ผลิตภัณฑ์นม (ถ้าคุณแพ้นม หรือรับประทานนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมวิตามิน D แทน)

• กุ้ง, ปลาคอด

• เต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่นๆ

• ปลาทะเล

• แอปเปิ้ล

• หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำอัดลม น้ำตาลฟอกขาว เนื้อสัตว์ และเกลือ


โรคหอบหืด คือ ภาวะที่ช่องทางสำหรับลำเลียงอากาศเข้าสู่ปอดไม่ปกติ อาการจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์กล้ามเนื้อที่อ่อนนุ่มล้มเหลวในการขนถ่ายอากาศ จนเส้นทางดังกล่าวปิดในที่สุด จึงยากที่อากาศจะเข้าหรือออกจากปอด นำไปสู่อาการหายใจขัดหรือหายใจลำบาก ถ้าอาการเหล่านี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาชั่วระยะหนึ่ง อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายในได้
แม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอาการ แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่า อาการอาจจะกำเริบขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีอาหารจำพวกหนึ่งที่ช่วยลดการปะทุของโรค และบรรเทาอาการที่เกิดจากสภาวะอ่อนเพลียนี้ สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่

• ผักและผลไม้ปลอดสารพิษ

• ปลาทะเล เช่น ปลาคอด แซลมอน แมคเคอเรล แฮริ่ง

• น้ำมันมะกอก

• โรสแมรี่ ขิง

• ลดการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเป็นตัวเพิ่มความรุนแรงของอาการหอบหืด


โรคมะเร็งลำไส้ สามารถเกิดขึ้นที่ส่วนใดก็ได้ของลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์ของลำไส้สัมผัสกับสารเคมีหรือสารก่อมะเร็งจน DNA ของเซลล์ถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่การผ่าเหล่า (mutation) ในเซลล์ และเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวอย่างปราศจากการควบคุมและกระจายไปทั่วร่างกาย จนอวัยวะเสียหายและถึงแก่ชีวิตในที่สุด แม้ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ แต่นักวิจัยเชื่อว่า 90% มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารของแต่ละคน ดังนั้น วิธีป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ที่ดีที่สุด คือ รับประทานอาหารให้เหมาะสม ซึ่งมีดังต่อไปนี้

• ผักและผลไม้ที่ปลูกแบบออร์แกนิค โดยเฉพาะ แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่

• น้ำมันมะกอก

• แป้งไม่ขัดขาวเพื่อเพิ่มเส้นใย

• ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า แฮริ่ง แมคเคอเรล เพื่อเพิ่มกรดไขมัน โอเม้า-3

• หัวหอม กระเทียม ต้นหอม ขมิ้น ขิง

• โยเกิร์ต

• บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี

• ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

• ส้ม มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว

• หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ กรดไขมันโอเมก้า-6 ไขมันอิ่มตัว น้ำตาลฟอกขาว และแอลกอฮอล์


Sunday, October 14, 2007

การทำข้อสอบ อ่าน (อังกฤษ) ฉบับพี่เกลือ

ฉบับนี้พี่เกลือมีเทคนิคในการทำข้อสอบ O-net และ A-Net วิชาภาษาอังกฤษในส่วนของ Reading Comprehension เพื่อให้น้องๆเข้าใจถึงหัวใจหลักของข้อสอบส่วนการอ่านนี้ แต่ก่อนอื่นเรามาเรียนรู้เทคนิคที่สรุป วิธีการทำข้อสอบให้ถึง 75 คะแนนกันอีกที ก่อนอื่นน้องเองต้องรู้ว่าใน 100 ข้อนั้นน้องสามารถทำส่วนไหนได้ดีที่สุด และได้ไม่ดีที่สุด ... น้องๆที่พี่รู้จักหลายๆ คนจะทำส่วนของ Conversation ได้อย่างดีมาก
บางคนสามารถทำคะแนนได้เต็มหรือเกือบเต็ม นั้นก็หมายความว่าน้องสามารถเก็บคะแนนได้ 25-30% ของข้อสอบทั้งหมด และส่วนอื่นๆอีก 70-75% จะเป็นส่วนที่น้องต้องใช้ความพยายามมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ Cloze Passage, Passage หรือ Error Identification
น้องต้องรู้ศัพท์ระดับกลางอย่างน้อยๆประมาณ 3000 คำศัพท์ระดับกลางนี้พี่จะยกตัวอย่างให้น้องเห็นภาพ ยกตัวอย่างเช่น available circumstance criteria alternative Nevertheless ถ้าน้องรู้ศัพท์ระดับดับจำพวกนี้ได้เป็นจำนวนมากแล้วจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมความเป็นไปได้ให้น้องได้คะแนนถึง 75 คะแนน และยิ่งถ้าน้องรู้โครงสร้างของประโยค Simple Compound and Complex sentence อย่างชำนาญ ข้อสอบในส่วนต่างๆน้องก็จะสามารถเข้าใจได้มากขึ้น


เทคนิคการทำข้อสอบในส่วน Reading Comprehension นั้นมีดังนี้ คือ
1. น้องอ่านคำถามของข้อสอบและระหว่างอ่านคำถามน้องพยายามเดา แนวโน้มของบทอ่านว่าเป็นเรื่องอะไร อย่างไร ที่ไหน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาน้องอ่านคำถามพยายามจำให้ได้ว่าเค้าถามอะไร
2. กลับไปอ่านส่วนของเนื้อหา แล้วเมื่อเราเจอประโยคที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับคำถามที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ เราเพียงหยุดแล้วกลับไปดูคำถามอีกทีว่าเขาถามอะไร ตรงกับเนื้อหาที่เรากำลังอ่านอยู่ตอนนี้หรือไม่
3.เมื่ออ่านจบแล้วจะเห็นได้ว่าเราสามารถตอบคำถามได้บางข้อเท่านั้น เพราะคำถามในส่วนอื่นมักจะเป็นการคิดวิเคราะห์ของผู้อ่านเอง ฉะนั้นจึงจำเป็นมากในการอ่านฝึกฝนพอสมควรในการทำข้อสอบประเภทนี้

ดังนั้นขอให้น้องๆฝึกฝนการทำข้อสอบให้เยอะๆเพราะจะได้เห็นรูปแบบของข้อสอบ ขอให้น้องโชคดีกับการสอบที่จะถึงนี้

Thursday, September 13, 2007

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์ (ฝึกไว้ใช้อ่านสือสอบค่ะเพื่อนๆ 55+)

ผู้หญิงสมัยนี้อยาก สวย เก่ง และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่มีใครใส่ใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ใช้ตัดสินทุกเรื่องในชีวิต เราจึงควรออกกำลังกายสมองด้วยวิธีง่ายๆ 9 เทคนิคดังนี้

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำร้อยละ 85 ซึ่งสมองก็เหมือนกับต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าเพื่อนๆไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า คิดช้า หรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันเพื่อนควรจะดื่มน้ำบ่อยๆ (ดดยเลี่ย แล้ว 8 - 10 แก้วต่อวัน ค่ะ )

2. กินไขมันดี หรือ โอเมก้า 3 คนไม่ค่อยรู้ว่า สมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ (ซึ่งตัวหนู มีแต่ไขมันส่วนเกิน แหะๆ) จึงแนะนำให้กินไขมันดีในระหว่างวัน ก็ได้แก่พวก น้ำมันตับปลา แปะก๊วย ปลาแซลมอน หรือนมถั่วเหลือง (หาซื้อง่าย ราคาประหยัด และ ประโยชน์อีกมากมายอีกตะหาก) วิตามินรวม ที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซี เมื่อกินแล้วจะรู้สึกสดชื่น

3. นั่งสมาธิโดยเฉลี่ย 12 นาที / 1 วัน หลังจากการตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติ นั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองเราโล่ง โปร่ง สบาย (ถ้าไม่ได้ทำตอนเช้า แนะนำว่า ก่อนนอนก็ยังดี)

4. ใส่ความตั้งใจ (ซึ่งสำคัญที่สุด) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการวางโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างเราสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้เราประสบความสำเร้จในสิ่งต่างๆ เพราะว่าสมองเราไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงและสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีกับคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน สิ่งใหม่ๆในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินร้านอาหารใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเรื่องใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะว่าการที่เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ ทำให้กระตุ้นให้อยากเรียนรู้อยากสร้างสรรค์ เมื่อมีความสุขก็มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยแก่คนอื่นและตนเอง ทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตนเอง โกรธคนอื่น โกรธคนอื่น จะทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่นเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบรรทึก ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดทุกวัน เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี เป็นต้น เพราะการที่เราเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดในเชิ่งบวก พร้อมกับการหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา และจะช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมสาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกซิเจน ร้อยละ 20 - 25 ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆจึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น (และเป็นการฝึกบุคลิกภาพไปในตัวอีกตะหาก) ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจจะหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้อีก 20 เปอร์เซ็น

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่ได้เรียนรู้ แต่จะเก่งขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลฝึกฝนสมองให้มีสุขภาพดี คุณภาพชีวิตเราก็จะดีตามขึ้นไปด้วย