Thursday, July 12, 2007

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ (ที่ 2 3 และ 4 ค่ะ)

เรามาต่อกันที่ รูปปั้นของพระเยซู เมือง ริโอ เดอ จาเนโร : Statue Cristo Redentor ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล









โดยรูปปั้นของพระเยซูที่โปรดให้พ้นบาป ยืนสูง 30 เมตร (98 ฟุต) และกำลังมองข้ามเมือง Rio de Janeiro หนึ่งในรูปปั้นสูงที่สุด ในโลก. รูปปั้นแสดง พระเยซูเยืนยื่นแขนออกมาต้อนรับ และเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ พัฒนาดดยวิศวกร Heitor da Silva Costa และองค์กร สร้างขึ้นในปี 1921 ดครงการทำเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสิ้น รูปปั้นอยู่บนภูเขา Corcovado (ภูเขา Hunchback ) และตั้งใน อุทยานแห่งชาติ Tijuca เป็นสถานที่ปิคนิกที่รื่นเริง
เรา สามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น ซึ่งสูง 709 m (2326ฟุต) สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro นักท่องเที่ยวสามารถ ขึ้นรถไฟ ไปบนยอดของภูเขาเพื่อมองรูปปั้นอย่างใกล้ชิด และมองเห็นวิวที่สวยงามมาก



สถานที่ต่อไป คือ สนามกีฬากรุงโรม : Colosseum of Rome ตั้งอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี










สนามกีฬากรุงโรม : Colosseum of Rome ตั้งอยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ซึ่งสนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้ เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่างสิพ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80)

ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร
หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมากทปีๆธิหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลงชัก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันยเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชมกันจ๊ะ



สถานที่ต่อไปค่ะ กำแพงเมืองจีน : Great Wall of China ประเทศจีน










กำแพงเมืองจีน : Great Wall of China ประเทศจีน ซึ่งเจ้ากำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบ ไม่ได้อีกแล้ว มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร(10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ

เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร(300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุ ไว้ประจำทุกหอ รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น เป็นสิ่งก่อสร้าง ชนิดเดียวในโลก ที่สามารถมองเห็น เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก

Tuesday, July 10, 2007

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่

"โหวต 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่"
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ.2007 หรือ พ.ศ.2550 (07/07/07) ที่ผ่านมา เป็นวันที่ "มูลนิธิ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่" (New 7 Wonders Foundation : N7W) ซึ่งดำเนินการมายาวนาน 7 ปีเต็ม แถลงความสำเร็จโครงการระดับโลก นั่นก็คือ การประกาศผลการเปิดให้พลเมืองโลกทั่วทุกมุมโลก ลงคะแนนเสียงผ่านทางเว็บไซต์ www.new7wonders.com และทางโทรศัพท์ เพื่อลงมหาประชามติ ว่า สถานที่แห่งไหนในโลกใบนี้คู่ควรกับการยกย่องขึ้นเป็น "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่" แทนที่ "7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ" ซึ่งจนถึงปัจจุบันเสื่อมสลายไปหมดแล้ว คงเหลือ "มหาพีระมิดแห่งกิซา" อยู่เพียง 1 เดียวจ๊ะ

ซึ่ง มูลนิธิ "N7W" ก่อตั้งโดยนายเบอร์นาร์ด เวบเบอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวสวิส/นาเดียน เมื่อปีพ.ศ.2543 วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะระดมทุนจัดหาเงินทุนอนุรักษ์-บูรณะมรดกวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่อันเกิดจากการสรรค์สร้างของมนุษย์โดยก่อนหน้านี้ เวบเบอร์กับคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรม นำโดย นายเฟเดอริโก เมเยอร์ อดีตผอ.องค์การยูเนสโก ได้คัดเลือกโบราณสถาน สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมถึงสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่น 77 แห่งทั่วโลก หลังจากนั้น ได้ทยอยเปิดให้ชาวโลกลงคะแนนคัดเลือกมาตามลำดับ กระทั่งขณะนี้เหลืออยู่ 21 แห่ง ซึ่งกำลังรอการลงคะแนนขั้นตอนสุดท้ายให้เหลือ 7 แห่ง

"7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ" ประกอบด้วย

1. มหาพีระมิดแห่งกิซ่า ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสต์กาล เป็นสิ่งมหัศจรรย์เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
2. สวนลอยบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2
3. เทวรูปเทพเซอุส ที่อารามโอลิมเปีย สูง 12 เมตร
4. เทวาลัยอาร์เทมิส ที่เอเฟซุสในเขตเอเชียไมเนอร์
5. อนุสรณ์สถานเมาโซเลอุม ตั้งอยู่ในฮาลาคาร์นาสซุสในเอเชียไมเนอร์ สร้างโดยราชินีอาร์เทมิเซีย เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่กษัตริย์เมาโซลุสแห่งคาเรีย
6. เทวรูปเฮลิออส แห่งโรเดสของกรีกในทะเลเอเจียน เป็นรูปสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ของพระอาทิตย์ หรือ เทพเฮลิออส ความสูง 32 เมตร
7. ประภาคารฟาโรส แห่งอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สร้างในสมัยพระเจ้าปโตเลมี
มูลนิธิ "N7W" อ้างอีกว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ข้างต้น คัดเลือกโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกยุคโบราณเพียงคนเดียว เพื่อนำมาจัดทำคู่มือท่องเที่ยวให้ชาวเอเธนส์ ดังนั้น จึงยุติธรรมกว่าถ้าครั้งนี้เปิดให้คนทั่วโลกลงมติพร้อมกันเป็นครั้งแรก และเปิดทางให้ความมหัศจรรย์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้าไปมีส่วนร่วมผสมผสานเข้ากับมรดกโลกสมัยเก่าที่มีอายุนับพันปีอีกด้วย ซึ่งล่าสุดมีคนเข้ามาลงคะแนนแล้วทั้งสิ้นถึง 40 ล้านเสียง โดย รายได้ครึ่งหนึ่งจากสปอนเซอร์ของโครงการนี้จะใช้สำหรับการดูแลฟื้นฟูสิ่งมหัศจรรย์และมรดกสำคัญทางประวัติศาสตร์ของโลกต่อไปด้วยจ๊ะ อย่างไรก็ตาม มีเสียง "คัดค้าน" จากหน่วยราชการบางประเทศ ว่า "N7W" ไม่มีสิทธิ์เป็นตัวตั้งตัวตี ถือวิสาสะชี้นิ้วบอกว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตามอำเภอใจ
โดยเมื่อเดือนเม.ย. กระทรวงวัฒนธรรมอียิปต์ ชาติที่ตั้งพีระมิดกิซา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน เพราะมองว่าเป็นการทำเพื่อสร้างประโยชน์ทางการค้า เอื้อประโยชน์ให้อุตสาหกรรมทัวร์บางกลุ่ม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการล้วนๆ ขณะที่บางชาติแสดงความยินดี เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
สำหรับผลการลงคะแนนจากประชาชนทั่วโลกกว่า 100 ล้านคน ได้เลือก 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ (New 7 Wonders) ดังนี้
ที่แรกเราไปกันที่ ชิเชน อิตสา : Chichen Itza ประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สร้างทีหลัง วิหารเก่าแห่งชัคมูล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดย ใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น
ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ มีบันไดกลาง รอบ ๆ ทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ้งอยู่กลางเมือง ที่สาธารณะ เป็นที่รวมของฝูงประชาชน

รูปภาพสวยๆที่ ชิเชน อิตสา : Chichen Itza ประเทศเม็กซิโก









ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโก สืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากเอเชีย เข้ามายัง อเมริกา ทางช่องแคบเบริ่ง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมี สติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน
พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลก ที่พวกนี้มิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน
ศูนย์กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชน อิตสา ในคาบสมุทรยุกาตัน ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายธอมป์สัน ชาวอเมริกา ผู้ใช้ ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ
บางทีอาจกล่าวได้ว่าพวกมายาจะเป็นต้นตำรับของพวกบูชาความสงบที่ต้องการศาสนารุนแรง นองเลือด หลังจากที่เคยพ่ายแพ้พวกชนเผ่าโตลเต็ค ซึ่งอยู่ตอนกลางของเม็กซิโก ในท้ายที่สุด พวกมายาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่นิยมความรุนแรงที่เหนือกว่า ในเมื่อผู้ชนะที่กระหายเลือด โลภที่ จะได้ทอง และทรัพย์สมบัติของพวกมายาอย่างเต็มที่
ขออภัยด้วยค่ะ เนื่องจาก ไฟล์รูปภาพ และเนื้อหา หนักมากเกินไปโปรดติดตาม อีก 6 สถานที่ ในบทความต่อไป

Monday, July 2, 2007

6 วิธีเก็บเงินให้อยู่ ตั้งแต่คุณเป็นนักเรียน!!!

1. เปิดบัญชีธนาคารให้เหมาะบรรดา นักเรียนต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แน่นอนอยู่แล้วต้องรับเงินเดือนจากพ่อแม่ แนะนำให้เปิดบัญชี ATM ในสาขาของกรุงเทพฯ เพราะถ้าเปิดบัญชีในจังหวัดที่บ้าน ต้องเสียค่าบริการเวลากดเงินข้ามเขตอีก กดทีละ 30 บาท ก็คูณเข้าไปสินคะ กว่าจะหมดปีเงินหายไปหลายอยุ่นา
2. "เงินเราไปไหน"ใช้ถามตัวเองบ่อยๆ เวลาใช้เงิน ไม่อยากลืมต้องทำบัญชีรับจ่าย เก็บบิลเวลาซื้อของ และเอาสมุดเงินฝากไปอัพเดทเพื่อเช็คยอดล่าสุดบ่อยๆ
3. อยู่ห่างๆเพื่อนมือเติบไม่ ได้แนะนำให้เป็นคนปฎิเสธสังคม แต่ให้เลือกกลุ่มเพื่อที่ไปกินข้าว ช้อปปิ้งสักหน่อย ถ้าคุณอยู่กลุ่มเพื่อนกินใหญ่ใช้โต กินข้าวเย็นมื้อละหลายร้อย คุณก็ต้องแชร์จ่ายเท่าๆกัน เงินเดือนนักเรียนของคุณมีเท่าไรถึงจะพอล่ะคะ
4. ระวัง!! บิลค่าโทรศัพท์ค่า ใช้จ่ายรายใหญ่สุดของหนุ่มสาววัยนี้เตือนสติตัวเองเวลาคุยให้ดี ตั้งเสียเตือนเป็นรายนาทีไว้ก็ได้ หรือเลือกโปรโมชั่นที่เหมาะกับตัวเองที่สุด
5. ใช้บัตรนักเรียน นักศึกษาให้มีค่าที่สุดทั้ง ค่าอาหาร ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ หรือเวลาไปเมืองนอก ใช้เป็นส่วนลดได้ดีที่สุด ช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัย รายจ่ายที่คุณประหยัดได้ดีที่สุดคือ หนังสือและฟิตเนส เข้าห้องสมุดและโรงยิมเข้าไว้
6. ออมเงินรายเดือน10% ของเงินได้จากพ่อแม่เก็บเป็นฝากประจำไว้เลย แล้วลองดูสิว่า พอรับปริญญาแล้วคุณมีเงินก้นถุงอีกเท่าไร!